วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อนุทิน 1

อนุทิน 1

ให้นักศึกษาดาวน์โหลด เนื้อหาบท 1 ให้อ่านและวิเคราะห์ให้ละเอียด
พร้อมตอบคำถามท้ายบทนี้มี 12 ข้อ
1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
 เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันในสังคมโดยมีเหตุมีผลในการคิด เมื่อมาอยู่รวมกันต้องมีกฎหมายเพื่อบังคับ หากไม่มีกฎหมายทุกคนก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนเองความถูกแล้วและอาจจะทำผิดโดยไม่รู้ตัว และจะถือกฎหมู่เหนือกฎหมาย
2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
สังคมปัจจุบันจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีกฎหมายเพราะการอยู่ร่วมกันจะเกิดความขัดแย้งทะเลาะวิวาท มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เหล่านี้จะต้องอยู่บนบััทัดฐานของกฎหมาย
3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก. ความหมาย ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ค. ที่มาของกฎหมาย ง. ประเภทของกฎหมาย
ค.ที่มาของกฎหมาย เกิดจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ที่แตกต่างเพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่คนเดียวไม่ได้ เมื่อมาอยู่ร่วมกันจะต้องมีกฎระเบียบแบบแผนในการอยู่ร่วมกัน
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ทุกประเทศต้องมีกฎหมายเพราะต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีสิทธิเสรีภาพ มีประชาธิปไตยเพื่อความเสมอภาพ และใช้กฎหมายเพื่อบังคับซึ่งความถูกต้อง
5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย
มีสภาพบังคับ ซึ่งทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นเหนือกฎหมายนั้นๆ กำหนด หากฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้และสภาพบังคับทางอาญา คือโทษบุคคลทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับ จำคุก กักขัง ริบทรัพย์ หากเป็นคดีแพ่ง จะต้องชดใช้สินไหมทดแทน เป็นต้น
6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ต่างกัน
 -กฎหมายอาญา โทษบุคคลทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับ จำคุก กักขัง ริบทรัพย์
-กฎหมายแพ่ง จะต้องชดใช้สินไหมทดแทนเช่นบังคับให้ลูกหนี้ส่งมอบหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาบังคับผู้ขาย
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ความสำคัญกว่าอย่างอื่นคำพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างตีความของกฎหมาย เท่านั้น
8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนาไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน หากเราจะพิจาณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้อะไรเป็นหลักในการแบ่ง ได้แก่
    แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง
    แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
    แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์ เช่น แบ่งเป็นกฎหมายประเภทแผนกคดีเมือง ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐหนึ่งกับบุคคลในอีกรัฐหนึ่ง และกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยข้อตกลงระหว่างรัฐในการร่วมมืออย่างถ้อยทีถ้อยปฏิบัติในการปราบปรามอาชญาระหว่างประเทศและส่งตัวผู้ร้ายข้ามให้แก่กัน ซึ่งการแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะขอกล่าวโดยทั่ว ๆไปดังนี้
 กฎหมายภายใน มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลัก
โดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายต่าง ๆ พระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือ ออกโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น อาศัยอานาจจากพระราชบัญญัติ เช่น เทศบัญญัติ
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรคแรก บัญญัติโทษทางอาญา เช่น การประหารชีวิต จาคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใช้ลงโทษกับผู้กระทาผิดทางอาญา
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง ได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่าง ๆ กันไว้สาหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่น การกาหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
อนึ่งสาหรับสภาพบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งควบคู่กันไปก็ได้ เช่น กฎหมายที่ดินพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และพระราชบัญญัติการล้มละลาย อีกทั้งยังมีสภาพบังคับทางปกครองอีก ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ แบ่งโดยคานึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก กล่าวถึงการกระทาที่กฎหมายกาหนดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด หรือเป็นสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กฎหมายประสงค์จะควบคุมหรือคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนซึ่งจะก่อให้เกิดผล มีสภาพบังคับที่รัฐหรือผู้มีอานาจบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นผู้กาหนด การกระทาผิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าลักษณะองค์ประกอบความผิดตามบทกฎหมาย กฎหมายที่กาหนดองค์ประกอบความผิด และกาหนดความร้ายแรงแห่งโทษจึงเป็นกฎหมายสารบัญญัติ เช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชเกือบทุกมาตราเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ เช่นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในประมวลกฎหมายนี้ กาหนดตั้งแต่อานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐในการดาเนินคดีทางอาญา การร้องทุกข์ การกล่าวโทษว่ามีการกระทาผิดอาญาเกิดขึ้น การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน การฟ้องร้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิจารณาคดีในศาล การลงโทษแก่ผู้กระทาผิด สาหรับคดีแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งจะกาหนดขั้นตอนต่าง ๆไว้ เป็นวิธีการดาเนินคดีเริ่มตั้งแต่ฟ้องคดีเรื่อยไปจนถึงศาลพิจารณาคดีและบังคับให้เป็นไปคาพิพากษา
ยังมีกฎหมายบางฉบับมีทั้งที่เป็นสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติทาให้ยากที่จะแบ่งว่าเป็นประเภทใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวิธีการดาเนินคดีล้มละลายรวมอยู่ด้วย การที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่าสาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กาหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐเป็นผู้มีอานาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม คือ กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กาหนดระเบียบแบบแผนการใช้อานาจอธิปไตย กาหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครอง กาหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน
กฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองความสงบในสังคม รัฐต้องลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทาผิด สาหรับวิธีและขั้นตอนที่จะเอาคนมาลงโทษทางอาญา บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญา และพระบัญญัติอื่น ๆ เป็นกฎหมายที่ควบคุมและคุ้มครองสังคมให้เกิดความสงบสุขและเป็นธรรม
4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จากัด เปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกันในรูปของการทานิติกรรมสัญญา มีผลต่อคู่กรณีให้มีกฎหมายคุ้มครองทั้ง 2 ฝ่ายมีผลผูกพัน โดยการทาสัญญา ปฏิบัติตามกฎหมายครบทุกประการ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปปฏิบัติตามหน้าที่ย่อมถูกฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามได้
 กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีเกณฑ์กาหนดกล่าวคือ 1) ประชาชนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ปึกแผ่น เรียกว่า พลเมือง 2) ต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน 3) มีการปกครองเป็นระเบียบแบบแผน 4) เป็นเอกราช 5) มีอธิปไตย เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก กฎหมายที่เป็นจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน รัฐทุกรัฐต่างเห็นชอบ เช่น หลักการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เอกสิทธิในทางการทูต
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย เป็นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในรัฐอื่น ๆ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอานาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทาผิดนอกประเทศนั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
9. ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
เป็นการจัดลำดับแห่งข้อบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันแก่ประชาชน หากมีกฎหมายใดออกมาขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญมิได้ กฎหมายฉบับนั้นย่อมไม่มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่ยึดหลักในการปกครองและบริหารประเทศ ตอบสนองและสอดคล้องนโยบายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา ที่เป็นตัวแทนของประชาชน และพระมหากษัตริย์ได้ลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับเป็นกฎหมาย เป็นกฎหมายที่ออกตามปกติธรรมดา ได้แก่ พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคาแนะนายินยอมของรัฐสภา เป็นกฎหมายที่มีความสาคัญรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ หากเกี่ยวพันกันหลายเรื่อง ออกในรูปประมวลกฎหมายก็ได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายที่ดิน ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นต้น สาหรับประมวลกฎหมายเหล่านี้เมื่อร่างเสร็จจะต้องมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายฉบับนั้น ๆ อีกครั้งหนึ่ง
3. พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอานาจตามรัฐธรรมนูญ และทรงตราขึ้นตามคาแนะนาของคณะรัฐมนตรีเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลพิเศษ กรณีเร่งด่วนหรือภาวะฉุกเฉินในการรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง หรือรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เมื่อตราแล้วจะต้องนาเสนอต่อรัฐสภาภายในระยะเวลาอันสั้น (2 หรือ 3 วัน) ถ้าสภาอนุมัติพระราชกาหนดก็กลายสภาพเป็นกฎหมายเสมือนพระราชบัญญัติ ถ้าไม่อนุมัติมีอันตกไปไม่มีผล
4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้มอบอานาจให้พระมหากษัตริย์ทรงออกกฎหมายในรูปพระบรมราชโอการได้ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ให้พระราชอานาจไว้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระราชกาหนด ใช้ในยามที่มีสถานะสงครามหรือในภาวะคับขัน อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการใช้อานาจนิติบัญญัติทางรัฐสภาอาจขัดข้องหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
5. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคาแนะนาของคณะรัฐมนตรีหรือเป็นกฎหมายอื่นที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย และ พระราชกฤษฎีกาจึงมีศักดิ์ต่ากว่าพระราชบัญญัติ พระราชกาหนด และประกาศพระบรมราชโองการ และจะขัดกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้ ยังมีพระราชกฤษฎีกาบางประเภทที่ออกโดยอาศัยอานาจตามรัฐธรรมนูญ เช่น พระราชกฤษฎีกาเปิดหรือปิดสมัยประชุมสภา พระราชกฤษฎีกายุบสภา มีความสาคัญมากกว่าพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอานาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
6. กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกาหนดเป็นผู้ออก เพื่อให้การดาเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหลักในเรื่องนั้น ๆ เป็นการออกกฎกระทรวงโดยฝ่ายบริหาร เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกา ต่างกับพระราชกฤษฎีกาตรงที่ว่าเป็นเรื่องสาคัญมาก ถ้าสาคัญรองลงมา ก็จะออกเป็นกฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกตามกฎหมายแม่บท นอกจากกฎกระทรวง หากจะกาหนดกฎเกณฑ์ในทางปฏิบัติ จะออกระเบียบ ข้อบังคับหรือประกาศ เพื่อความสะดวกในการบริหารงานได้อีกด้วย
7. ข้อบัญญัติจังหวัด เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้อานาจองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่มีอานาจปกครองดูแล ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในท้องถิ่นที่องค์กรนั้นบริหารรับผิดชอบ จึงให้อานาจองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอานาจออกข้อบัญญัติจังหวัดเพื่อจัดเรียบสังคมดูแลทุกข์สุขของประชาชน มีผลใช้บังคับเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดนั้น ๆ จะบังคับนอกพื้นที่จังหวัดมิได้
8. เทศบัญญัติ เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติเทศบาล การแบ่งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็น 3 ระดับคือ เทศบาลตาบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ซึ่งอาศัยความหนาแน่นของประชากรตามที่พระราชบัญญัติกาหนด
7. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตาบล เป็นกฎหมายที่มีลาดับที่ต่าที่สุด ออกตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนตาบล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น มีอานาจหน้าที่ที่จะปกครองดูแล และให้บริการสาธารณะแก่ตาบล เพื่อใช้ในการบริหารงานราชการในท้องถิ่นที่ของตาบลนั้น
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายพิเศษ เช่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งประชาชนทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในระดับต่าง ๆ ดังกล่าวทั้งสิ้น รัฐจะต้องสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน ทาอย่างไรที่จะต้องให้ประชาชนได้รู้กฎหมายเพื่อป้องกันสิทธิ และรู้จักหน้าที่ของตนเองในฐานะที่เป็นพลเมืองที่ดี
แต่อย่างไรก็ตามยังมีกฎข้อบังคับอีกรูปแบบหนึ่งในทางวิชาการและในทางปฏิบัติที่ถือว่าเป็น “กฎหมาย” คือ “ประกาศของคณะปฏิวัติ” (บางครั้งเรียกว่า คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน) ออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติและไม่มีการลงพระปรมาภิไธย ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญย่อมมีศักดิ์เท่ากับรัฐธรรมนูญ ประกาศของคณะปฏิวัติที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก พระราชบัญญัติหรือพระราชกาหนด ให้มีศักดิ์ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกที่แก้ไขดังกล่าว
10. เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
กระทำผิด เพราะการที่มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชนเป็นเหตุการณ์อย่างสงบ ชุมนุมเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม รัฐบาลควรที่จะดูแลความเรียบร้อย หากเมื่อลงมือทำร้ายประชาชนก็ถือว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
การจัดการศึกษามีการปฏิรูปให้สอดคล้องกับภาวะบ้านเมืองปัจจุบัน จึงได้นำบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ได้กำหนดให้ มีการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และทำให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน ดังนั้นครูและบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายการศึกษาให้มากขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาของชาติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
หากกระผมไปประกอบอาชีพครู สามารถสอนได้แต่ไม่รู้หลักการไม่รู้ความต้องการของเด็กนักเรียนแต่ละวัย ไม่รู้จรรยาบรรวิชาชีพครูและไม่สามารถสอดคล้องวิชาเรียนให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น